กิจกรรมที่ 3
1 พระราชบัญญัติ คือ
กฎหมายที่มีอำนาจบังคับลำดับรองลงมาจาก กฎหมายรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า
พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่แยกย่อยออกมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ
คือในกฎหมายรัฐธรรมนูญจะประกอบไปด้วยพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
ซึ่งข้อบังคับหรือข้อกำหนดใดๆที่ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติทุกๆพระราชบัญญัติจะขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้
2 ความมุ่งหมายทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช ๒๕๔๒ (แก้ไขฉบับที่ ๑ และ ฉบับที่ ๒)กล่าวไว้ว่า
“ มาตรา ๖ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ”
“มาตรา ๗ ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและสงเสริมสิทธิหน้าที่เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชนสวนรวมและของประเทศชาติ
รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาทองถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอยางต่อเนื่อง ”
3 หลักในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช ๒๕๔๒(แก้ไขฉบับที่ ๑ และ ฉบับที่ ๒) กล่าวไว้ในมาตรา ๘
การจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้ คือ
(2)ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
(3)การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจากมาตราที่ ๘ ดังกล่าวนี้
อธิบายได้ว่า ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่
หรือคนชราก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ซึ่งอาจจะเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน นอกห้องเรียน
ก็สามารถเรียนรู้ได้ตามความต้องการของประชาชนทุกคนตลอดชีวิตของประชาชนและการจัดการศึกษานั้นจะมีหน่วยงานจากหลายๆหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นสังคม ชุมชน วัด
และหน่วยงานทางราชการต่างๆก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาได้เช่นกัน
เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพในทุกๆด้านให้กับผู้เรียน
และที่สำคัญคือ การจัดการศึกษานั้นจะต้องมีการพัฒนา
ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆวัน
เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงไป การจัดการศึกษาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางด้านต่างๆของสังคม
(1) มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
กล่าวคือ
จะต้องมีนโยบายที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาในทุกรูปแบบที่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แตกแยก แต่สามารถปรับ
ปฏิบัติได้ในหลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของลักษณะการจัดการศึกษาแต่ละรูปแบบ
(2) มีการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา
และองค์กรปกครองส่วนถิ่น
กล่าวคือ
การจัดการศึกษานั้นจะต้องมีการกระจายอำนาจการปกคลองไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา
สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วน เพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ
การส่งเสริมและพัฒนาทางด้านการจัดการศึกษาในด้านต่างๆร่วมกัน
เพื่อประสิทธิภาพและคุณภาพที่ดีของการจัดการศึกษา
(3) มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา
การจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษากล่าวคือ
มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา
การจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
และเพื่อช่วยให้การจัดการศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามมาตรฐานการศึกษาที่ได้วางไว้อย่างเป็นระบบระเบียบนั่นเอง
(4) มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา
และการพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องกล่าวคือ
จะต้องมีการส่งเสริมพัฒนาครู หรือบุคลากรทางการศึกษา
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในด้านการจัดการศึกษาที่จะส่งผลให้การจัดการศึกษานั้นๆมีความประสบผลสำเร็จหรือไม่ประสบผลสำเร็จ
ดังนั้นหากครูหรือบุคลากรทางการศึกษาดังกล่าว มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มีการเข้ารับการอบรมต่างๆ หรือเข้ารับการส่งเสริม พัฒนาความรู้ที่ดี
ก็จะช่วยให้บุคคลเหล่านี้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเพื่อให้การจัดการศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามมารฐานการจัดการศึกษาที่ได้วางไว้
(5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา
กล่าวคือ
การจัดการศึกษาที่ดีนั้นจะต้องมีการนำความรู้จากหลายๆแหล่งมาประยุกต์และบูรณาการณ์ในห้องเรียน
ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน ภูมิปัญญาต่างๆที่มีอยู่ในชุมชน เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรักษ์และหวงแหนชุมชนของตนเอง
เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่ตนเองได้เรียนมาปรับปรุง พัฒนาชุมชนของตนเองต่อไปในอนาคต
(6) การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น
กล่าวคือ การจัดการศึกษาที่ดี
จะต้องเปิดโอกาสให้องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน
องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคม
รวมถึงบุคคลในครอบครัวของผู้เรียนเข้ามามีบทบาทในการอบรม
และให้การศึกษาแก่เด็กหรือผู้เรียน ตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละองค์กร
เพื่อให้เด็กหรือผู้เรียนมีความรู้และมีความเข้าใจในทุกๆด้านของการดำเนินชีวิต
เพราะการศึกษานั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเรียนรู้อยู่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยมเพียงแค่อย่างเดียว
5
สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช ๒๕๔๒ (แก้ไขฉบับที่ ๑ และ ฉบับที่ ๒) กล่าวไว้ว่า
มาตรา ๑๐ ว่าการจัดการศึกษา
จะต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและมีโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่ไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึง
และอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา อารมณ์สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ
หรือทุพพลภาพและบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส
จะต้องมีการจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
คือ ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และนอกจากนี้ให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ
และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
และนอกจากนี้การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษ
ต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมตามลักษณะความสามารถของบุคคลนั้นๆ
มาตรา ๑๑ บิดา มารดา
หรือผู้ปกครองจะต้องมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับตามมาตรา
๑๗
และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตลอดจนให้ได้รับการศึกษาที่นอกเหนือไปจากการศึกษาภาคบังคับ
ตามความพร้อมของแต่ละครอบครัว
มาตรา ๑๒ นอกเหนือจากรัฐ เอกชน
และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล
ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน
องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบัน
สังคมอื่น
มีสิทธิในการจัดศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๓ บิดา มารดา
หรือผู้ปกครองมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ คือ
การสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและการให้การศึกษาแก่บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลของบิดา
มารดา หรือผู้ปกครอง
ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของบุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลที่ครอบครัวจัดให้
แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๔ บุคคล ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา สถานประกอบการ
และสถาบันสังคมอื่น ซึ่งสนับสนุนหรือจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีสิทธิ
ได้รับสิทธิประโยชน์ตามควรแก่กรณี คือ
การสนับสนุนจากรัฐให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบ
ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนด
และได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด
การศึกษาในระบบ คือ เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตรระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน ซึ่งการศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอุดมศึกษา และการศึกษาระดับอุดมศึกษาซึ่งแบ่งออกเป็นสองระดับ คือ ระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาการศึกษานอกระบบ คือ การศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย
รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่มการศึกษาตามอัธยาศัย คือ การศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์สังคม สภาพแวดล้อม สื่อหรือแหล่งความรู้อื่น ๆ
7 สามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาได้
คือ
การจัดการเรียนการสอนที่มีการบูรณาการเข้ากับแหล่งเรียนรู้ต่างๆที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ซึ่งอาจจะมีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนออกทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อเป็นการศึกษานอกห้องเรียน
และมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนที่มีสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆในท้องถิ่น
มาเป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนในห้องเรียน
และอาจจะมีการกำหนดชิ้นงานเพื่อให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้หรือจากบุคคลในชุมชน
เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนของนักเรียนและเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับนักเรียน
และเพื่อให้นักเรียนตระหนักและเข้าใจว่าการเรียนรู้และศึกษาค้นคว้าที่ดีเกิดจากการเรียนรู้และศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
8
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แก้ไขเพิ่มเติม
ฉบับที่ 3 มีประเด็นในมาตราที่ มาตรา ๓๗ คือ
การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาและมีการคำนึงถึงระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จำนวนสถานศึกษา จำนวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสมด้านอื่นๆ
เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของสภาการศึกษา
มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เพื่อกำหนดเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
และในกรณีที่สถานศึกษาใดจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา
จะให้สถานศึกษาแห่งนั้นอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาใด
ให้ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้
ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและในกรณีที่เขตพื้นที่การศึกษาไม่อาจบริหารและจัดการได้ตามวรรคหนึ่ง
กระทรวงอาจจัดให้มีการศึกษาขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้เพื่อเสริมการบริหารและการจัดการของเขตพื้นที่การศึกษาก็ได้
(1) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ
สติปัญญาอารมณ์
สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ
(2) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย
(3) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ
(4) การจัดการศึกษาทางไกล
และการจัดการศึกษาที่ให้บริการในหลายเขตพื้นที่การศึกษา”
มาตรา ๔ มีการเพิ่มความว่า “ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสถานศึกษาเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษาใด
ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”ซึ่งเป็นวรรคห้าของมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
จากการที่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วยการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา
ซึ่งมีระบบการบริหารและการจัดการศึกษาของทั้งสองระดับรวมอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
ทำให้การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดความไม่คล่องตัวและเกิดปัญหาการพัฒนาการศึกษา
จึงมีการแยกเขตพื้นที่การศึกษาออกเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เพื่อให้การบริหารและการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และเป็นการพัฒนาการศึกษาแก่นักเรียนในช่วงชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้สัมฤทธิผลและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
9
เห็นด้วย
เพราะสถานศึกษาก็คือสถานที่สำคัญที่จะสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศชาติ จึงควรมีอำนาจและสิทธิต่างๆที่สมควรจะได้รับ
เพื่อนำไปเป็นปัจจัยในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน และที่สำคัญคือ
หากสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานมีฐานะเป็นนิติบุคคล
ก็จะทำให้สถานศึกษานั้นๆมีอำนาจในการส่งเสริม พัฒนาการจัดการเรียนรู้และการส่งเสริมทางด้านต่างๆให้กับผู้เรียนได้อย่างเต็มที่
10
เห็นด้วย
เพราะการศึกษาไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จากโรงเรียน
หรือจากมหาวิทยาลัยเพียงแค่อย่างเดียว แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งอาจจะเป็น
วัด สถาบันทางศาสนา ท้องถิ่น หรือชุมชนที่มีความพร้อมในด้านปัจจัยต่างๆ
ก็สามารถจัดการศึกษาที่ให้ความรู้ ให้การศึกษาแก่ผู้เรียนได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งจะเห็นได้ว่า
ในสมัยก่อนที่การศึกษาของประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองหรือเป็นที่แพร่หลายอย่างเช่นปัจจุบันนี้
ก็มีการจัดการเรียนการสอน การศึกษาจากวัดสำหรับผู้ชาย
ก็พบว่าสามารถจัดการศึกษาและอบรมคนไทยในสมัยนั้นให้เป็นคนดีได้เช่นกัน
11 การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
มีหลักการคือ เป็นการประเมินผลและติดตามตรวจสอบสถานศึกษาในด้านต่างๆ คือ
ด้านคุณภาพของสถานศึกษา ด้านมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน
ด้านบุคลากรของสถานศึกษา
และรวมถึงหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษานั้นๆ ว่ามีความพร้อมและการทำงานที่มีประสิทธิภาพหรือไม่
และรวมถึงมีการดำเนินงาน
หรือปฏิบัติงานทางด้านการจัดการศึกษาที่เป็นไปเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ทางการศึกษาหรือไม่
อย่างไร
12
เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการจัดการศึกษาที่ดี
ย่อมมาจากบุคคล หรือบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านการศึกษา อบรม
และการฝึกฝนประสบการณ์เฉพาะด้านมาเป็นอย่างดี จึงควรมีใบประกอบวิชาชีพ
เพื่อเป็นเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพของบุคลากรแต่ละคนในระดับหนึ่ง
และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เรียนและผู้ปกครองในการที่จะฝากบุตรหลาน
หรือบุคคลในความครอบครองเข้ารับการศึกษากับครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาต่างๆ
13
มีการระดมทุน
และทรัพยากรเพื่อการศึกษาในท้องถิ่นจากการศึกษาค้นคว้าประวัติและแหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ในชุมชน
โดยการสอบถามจากคนในชุมชน หรือจากผู้รู้ที่มีอยู่ในชุมชน
รวมถึงปราชญ์ชาวบ้านที่มีอยู่ในชุมชน หลังจากนั้นก็จัดทำ
หรือคิดพัฒนาเป็นบทเรียนที่บูรณาการกับกิจกรรมในห้องเรียนอย่างเหมาะสม
และอาจจะมีการผลิตสื่อต่างๆที่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชุมชน ที่สามารถหาได้ง่าย
และประหยัดค่าใช้จ่าย
14
เนื่องจากในปัจจุบันนี้สังคมไทยและสังคมโลกมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
และมีความก้าวหน้าทางการศึกษา ดังนั้นการจัดทำหรือพัฒนาสื่อ
รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนหรือการศึกษา
จึงควรเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความล้ำสมัยทางด้านเทคโนโลยี และที่สำคัญคือ
จะต้องสอดคล้องกับลักษณะความต้องการของผู้เรียนด้วย ข้าพเจ้าจึงคิดว่าควรที่จะสร้างหรือพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
และควรเป็นสื่อการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา
อย่างเช่น
การเรียนรู้จากการสร้าง Blogทางการศึกษานั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น